วิธีทำขนมแมวทำเองและข้อควรระวังในการป้อนผลไม้ให้แมว

เนื่องจากสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ของครอบครัว แมว นอกเหนือจากอาหารแมวในแต่ละวันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความอยากอาหารและเพิ่มความสุขในการรับประทานอาหารด้วยการป้อนขนมแมวให้พวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ขนมแมวในท้องตลาดมีหลายชนิด เช่น บิสกิต ขนมแมวเหลว อาหารแมวเปียก ขนมแมวแบบฟรีซดราย เป็นต้น แต่เจ้าของแมวบางรายอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและสุขภาพของขนมที่มีจำหน่ายในท้องตลาด . ดังนั้นขนมแมวทำเองจึงกลายเป็นทางเลือกที่รับประกันความสดและปลอดภัยของวัตถุดิบและสามารถปรับได้ตามรสนิยมของแมว เรามาแนะนำวิธีการทำขนมแมวแบบโฮมเมดหลายวิธีอย่างละเอียดกันดีกว่า

ภาพ 1

ขนมแมวเนื้อดิบทำเอง
เนื้อดิบคืออะไร?
เนื้อดิบไม่ใช่เนื้อสัตว์ชนิดเดียว แต่เป็นอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์หลากหลายชนิด รวมทั้งเครื่องในสัตว์และกระดูกอ่อนบางส่วนโดยเฉพาะสำหรับแมว เนื้อดิบอุดมไปด้วยสารอาหารและสามารถตอบสนองความต้องการของแมวในด้านโปรตีนสูงและสารอาหารอื่นๆ
กล้ามเนื้อทั่วไปที่แมวกินได้:
ไก่ เป็ด กระต่าย ไก่งวง เนื้อกวาง นกกระจอกเทศ เนื้อวัว เนื้อหมู หัวใจเนื้อ หัวใจหมู หัวใจแกะ เนื้อแกะ ฯลฯ
กระดูกทั่วไปที่แมวกินได้:
คอไก่ คอเป็ด สเต็กกระต่าย สเต็กไก่ คอไก่งวง น้ำพริกนกกระทา ฯลฯ
เครื่องในทั่วไปที่แมวกินได้:
ตับไก่ ตับเป็ด ตับห่าน กึ๋นไก่ ไตกระต่าย เนื้อซี่โครง ฯลฯ

ภาพ 2

ขั้นตอนการผลิต:

1. ซื้อวัตถุดิบ: ซื้อวัตถุดิบที่สดใหม่และมีคุณภาพ เช่น เนื้อกวาง เป็ด อกไก่ เนื้อวัว นกกระทา ตับ เป็นต้น โดยทั่วไปอัตราส่วนกระดูกดิบต่อเนื้อสัตว์คือ กล้ามเนื้อ 80% กระดูก 10% และ 10 % ตับ.
2. ส่วนผสมในกระบวนการ:
1-หั่นเนื้อกวางเป็นชิ้นเล็กๆ เนื้อกวางนั้นแข็งและเป็นชิ้นเล็กๆ ช่วยให้แมวเคี้ยวได้ง่ายกว่า
2- ลอกหนังและไขมันส่วนเกินของเป็ดออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อลดปริมาณไขมัน
3-หั่นเนื้อวัวและอกไก่เป็นลูกเต๋า
4. หั่นนกกระทาเป็นชิ้นเล็กๆ โดยต้องไม่มีกระดูกขนาดใหญ่ และกระดูกจะไม่ทิ่มมือคุณ
3. การชั่งน้ำหนักและการจัดสัดส่วน:
ชั่งน้ำหนักส่วนผสมที่แปรรูปตามสัดส่วน หลังจากชั่งน้ำหนักแล้วให้เติมตับในปริมาณที่เหมาะสม ตับอาจเป็นตับหมู ตับเนื้อ ตับไก่ ตับเป็ด ฯลฯ
4. เพิ่มสารอาหารและคน:
เติมสารอาหารที่แมวต้องการในแต่ละวัน เช่น วิตามินอี โปรไบโอติก ฯลฯ จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
5. การแช่แข็ง:
ใส่เนื้อและกระดูกดิบแปรรูปลงในถุงเก็บความสด จากนั้นนำไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นนานกว่า 48 ชั่วโมงเพื่อฆ่าเชื้อ เวลาให้อาหารแมวก็แค่ละลาย

รูปที่ 3

ขนมแมวทำเองที่บ้าน
นอกจากเนื้อและกระดูกดิบแล้ว ขนมแมวปรุงสุกก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ขนมแมวทำเองแบบทำเองต่อไปนี้เป็นแบบเรียบง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการ

อกไก่ต้ม:
อกไก่อุดมไปด้วยโปรตีนและย่อยง่ายซึ่งเป็นอาหารโปรดของแมว วิธีการเตรียมก็ง่ายๆ ใส่อกไก่ที่ล้างแล้วลงในน้ำเดือดแล้วปรุงจนไก่ขาวและสุก อกไก่ปรุงสุกสามารถฉีกเป็นเส้นเบา ๆ แล้วป้อนให้แมวทีละชิ้น

รูปที่ 4

อาหารแมวโภชนาการพร้อมเครื่องในสัตว์:
นึ่งเครื่องในสัตว์ เช่น หัวใจไก่ ตับเป็ด กับเนื้อไม่ติดมัน ฟักทอง แครอท ฯลฯ แล้วให้แมวกิน เตรียมเครื่องในครั้งละไม่เกิน 100 กรัม โดยใส่เนื้อสัตว์และผักในปริมาณเล็กน้อย ล้างส่วนผสมทั้งหมด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นึ่งในหม้อ และให้อาหารหลังจากเย็นลง อาหารแมวที่ทำในลักษณะนี้มีทั้งเนื้อสัมผัสที่ละเอียดและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

อาหารปลาไข่แดง:
หากคุณต้องการให้ขนแมวฟูและเป็นเงางามมากขึ้น คุณสามารถทำปลาป่นไข่แดงสัปดาห์ละสองครั้ง คุณสามารถเลือกปลาแซลมอนทะเลน้ำลึกหรือปลาน้ำจืดธรรมดา เอากระดูกและหนามของปลาออก ล้างและสับ จากนั้นใส่ไข่ คนให้เข้ากัน แล้วนึ่งในหม้อ นึ่งให้เย็น และต้องไม่มีกระดูกก่อนให้อาหารเพื่อหลีกเลี่ยงการสำลัก

รูปที่ 5

การให้อาหารผลไม้สำหรับแมว

ผลไม้มีวิตามิน ธาตุ และแร่ธาตุจำนวนมาก ซึ่งสามารถเสริมสารอาหารที่แมวต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แมวไม่สามารถกินผลไม้ทุกชนิดได้ ก่อนให้อาหารคุณควรตรวจสอบก่อนว่าผลไม้นั้นเหมาะสำหรับแมวหรือไม่

ผลไม้ที่เหมาะกับแมว:

แอปเปิ้ล (เอาแกนออก) กล้วย ลูกแพร์ แตงโม (เอาเมล็ดออก) สตรอเบอร์รี่ มะละกอ สับปะรด (ปอกเปลือก) ลูกพีช (เอาแกนออก)

ผลไม้ที่ไม่เหมาะกับแมว:

องุ่นและลูกเกด พลัม อะโวคาโด ผลไม้รสเปรี้ยว (เช่น ส้ม เกรปฟรุต มะนาว ฯลฯ)

วิธีป้อนผลไม้:

ให้อาหารเป็นชิ้นเล็กๆ: เวลาป้อนผลไม้ให้แมว ควรเอาแกนและเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แมวสำลักหรืออาหารไม่ย่อย

การให้อาหารแบบเลือกสรร: ผลไม้บางชนิดเป็นอันตรายต่อแมวและอาจก่อให้เกิดพิษได้ ตัวอย่างเช่น องุ่นและลูกเกดอาจทำให้แมวไตวายได้และควรหลีกเลี่ยง

ให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ: ควรให้อาหารผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะ การบริโภคที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในแมว โดยเฉพาะแมวที่มีกระเพาะเปราะบางควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้มากเกินไป

ให้อาหารหลังอาหาร: แมวไม่สามารถกินผลไม้ในขณะท้องว่างได้ ซึ่งอาจทำให้ระบบทางเดินอาหารไม่สบายได้ง่าย ทางที่ดีควรให้ผลไม้แก่แมวหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ และหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ขณะรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงอาการอาหารไม่ย่อย

รูปที่ 6

ความต้องการทางโภชนาการและข้อควรระวังสำหรับแมว

เนื่องจากเป็นสัตว์กินเนื้อ ความต้องการทางโภชนาการหลักของแมวจึงมีโปรตีนสูง ไขมันสูง ตลอดจนวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม ประเด็นต่อไปนี้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ:

โปรตีนสูง:แมวต้องการอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อรักษาสุขภาพกล้ามเนื้อและผิวหนัง เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญสำหรับแมว และควรคำนึงถึงสัดส่วนของเนื้อสัตว์เมื่อทำขนมแมวทำเอง

กรดไขมันจำเป็น:แมวจำเป็นต้องได้รับกรดไขมันจำเป็นจากอาหาร เช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งมีความสำคัญมากต่อผิวหนัง ผม และสุขภาพโดยรวมของแมว

วิตามินและแร่ธาตุ:แม้ว่าแมวจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นส่วนใหญ่จากเนื้อสัตว์ แต่สารอาหารบางชนิดอาจจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมเพิ่มเติม เช่น วิตามินอี แคลเซียม เป็นต้น

หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตราย:นอกจากผลไม้แล้ว อาหารของมนุษย์บางชนิดยังเป็นอันตรายต่อแมวด้วย เช่น ช็อกโกแลต กาแฟ หัวหอม กระเทียม ฯลฯ ซึ่งควรหลีกเลี่ยง

ขนมแมวทำเองไม่เพียงแต่รับประกันความสดและความปลอดภัยของส่วนผสมเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับได้ตามรสชาติและความต้องการทางโภชนาการของแมวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขนมเนื้อกระดูกดิบหรือขนมแมวปรุงสุก คุณต้องใส่ใจกับการคัดเลือกและวิธีการแปรรูปส่วนผสม นอกจากนี้ เพื่อเป็นอาหารเสริมสำหรับแมว ผลไม้ยังต้องได้รับการคัดเลือกอย่างระมัดระวังและให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของแมว ด้วยการจับคู่อาหารตามหลักวิทยาศาสตร์และสมเหตุสมผล แมวจึงสามารถเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยพร้อมทั้งได้รับสารอาหารครบถ้วน

รูปที่ 7

เวลาโพสต์: Jul-08-2024